วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Colorful Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำหลากสี

  วันนี้ได้มีโอกาสเข้าฟังสัมนาของกูรูชั้นยอดของเมืองไทยซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดกลยุทธ์ในอนาคตเพื่อแข่งขันในตลาดโลกซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา AEC(อาเซียนรวมเป็น 1) โดยจะสรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับ AEC เท่าที่เข้าใจว่า ต่อไปในปี 2558 เมื่ออาเซียนรวมเป็น 1 หมายถึง อาเซียนเรานี้จะรวมกันเหมือนเป็นประเทศๆ เดียวกัน มีฐานการผลิตร่วมกัน ภาษีในการนำเข้าสินค้าหรือเครื่องจักรแทบจะเป็น 0  ดังนั้นธุรกิจในประเทศไทยจึงไม่ใช่แต่เพียงแข่งขันกันในประเทศอีกต่อไป แต่เราต้องตระหนักว่าเราต้องแข่งกับมันสมองระดับแนวหน้าของเอเชียอย่างสิงคโปร์ การตลาดระดับโลกจากเกาหลีใต้ ค่าแรงขึ้นต่ำและสินค้าราคาถูกจากจีนและเวียดนาม สังเกตความคืบหน้าง่ายๆ จากรถไฟหัวกระสุนที่จีนจะตัดผ่านประเทศไทย ไม่ใช่ว่าคนไทยรวยมาจากไหนร่วมมือสร้างรถไฟหัวกระสุนที่มีความเร็วเท่าๆ กับเครื่องบิน แต่เป็นเพราะจีนจะใช้ไทยเป็นเส้นทางผ่านในการลำเลียงสินค้าไปขายทั่วเอเชียหรือเรียกว่าจุดกระจายสินค้า และเป็นเส้นทางในการลำเลียงทรัพยากรส่งกลับเข้าไปในประเทศจีน ผ่านลาว ผ่านเวียดนาม ครั้งนี้จากการสัมนาฟันธงว่า จีนจะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของทั้งอาเซียนหรือเรียกง่ายๆ AEC เป็นของจีนนั่นเอง คนไทยจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับโอกาสและอุปสรรคในอนาคต รับรองจะมีผู้ประกอบการไทยที่ร่ำรวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหนและผู้ประกอบการไทย ที่ล้มทั้งยืนลุกไม่ขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวรับมือในเวลาที่เหลืออันน้อยนิดครับ

   โดยจากการสัมนาในงานจะพูดถึงกลยุทธ์หลักๆ 3 กลยุทธ์ที่นำมาประยุกต์ใช้ นำโดยกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม(Blue Ocean Strategy)โดย อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลไชย กลยุทธ์น่านน้ำสีเขียว(Green Ocean Strategy) โดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ และกลยุทธืน่านน้ำสีขาว(White Oceanstrategy) โดย คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ซึ่งผมได้จับประเด็นสั้นๆ ตามความเข้าใจได้ดังนี้นะครับ

กลยุทธ์น่านน้าสีคราม จากการศึกษาของ W.C.Kim ซึ่งได้ทำตรงกันข้ามกับกลยุทธ์น่านน้ำสีแดงที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดซ่าน ของ M.E.Potter ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์ระดับโลก ใจความสำคัญคือเราต้องรู้จัก มองในช่องว่างของอุตสาหกรรมที่เราอยู่ มองถึงโอกาสทางการตลาดที่ยังไม่มีใครครอบครอง แล้วเราเข้าไปครอบครอง ณ จุดนั้น ด้วยยุทธวิธีหลักๆ 4 ประการคือ ลดสิ่งที่มากเกินความจำเป็นในธุรกิจ เพิ่มสิ่งที่เป็นจุดแข็งของธุรกิจ สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมและแตกต่างจากคู่แข่ง เลิกสิ่งที่ไม่จำเป็นและไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน เมื่ออ่านดูอาจจะดูเหมือนพูดง่ายทำยาก ... อันนั้นก็จริง แต่กรณีศึกษาในปัจจุบันที่เรามองเห็นก็ตัวอย่างเช่น iPhone ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันทุกวันนี้ละกัน iPhone ต่างจากมือถืออื่นๆ ด้วยการ
  • ลด การออกปริมาณรุ่นและราคาต่างๆ ที่มือถือทั่วไป ณ ขณะนั้นแข่งขันกันจนเรียกได้ว่าออกแทบทุกเดือน คนมีเงินได้มือถือสมประกอบ คนตังน้อยได้มือถือพิการเดี๋ยวมีกล้องไม่มี mp3 เด่วมีนู่นไม่มีนี่ iPhone จะออกมาเพียง design เดียว ต่อ 1 รุ่น ต่อปี
  • เพิ่ม จำนวน app ใหม่ๆ และหลายหลาย ด้วยการสร้าง app store ให้ programmer สามารถพัฒนาและขาย app และลูกค้าสามารถซื้อได้ในราคาถูก
  • สร้าง อวัยวะใหม่ให้ทุกคนด้วย มือถือที่มี Design ที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร และสามารถรองรับความต้องการการใช้งานหลากหลาย ทั้งการเล่นเน็ท การโทรศัพท์ socialnet work และการใช้งานใหม่ๆ จาก app ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  • เลิก ปุ่มกดที่ถือว่าเป็นเป็นส่วนประกอบสำคัญของมือถือทั่วไป โดยแอปเปิลคิดว่าไม่จำเป็นพร้อมแทนที่ด้วยระบบสัมผัสชั้นยอด
แต่อย่างไรก็ตาม อ. ธันยวัชร์ยังกล่าวทิ้งไว้ว่า ธุรกิจน่านน้ำาสีครามไม่มีอยู่จริง สุดท้ายทุกธุรกิจต้องมีการแข่งขันและกลับเข้ามาในน่านน้ำสีแดง

กลยุทธ์น่านน้ำสีเขียว หลายๆ คนคงตระหนักเป็นอย่างดีถึงวิกฤตการภาวะเลือกกระจกที่ทำให้โลกเราเปลี่ยนไปอย่างเช่นเป็นอยู่ในปัจจุบัน กลยุทธ์นี้จึงกล่าวถึงการทำธุรกิจไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยธุรกิจไหนที่ทำลายสิ่งแวดล้อมก็ให้หันกลับมาทำ CSR เหมือนที่บริษัทใหญ่ทำอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเป็นการปลูกต้นไม้ทดแทน การเลือกใช้วัตถุดิบและการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำทรัพยาการที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ การลดของเสียที่เกิดขึ้นในระบบ หรือทำทุกวิถีทางเพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเลือนกระจก พร้อมพัฒนาตนเองไปสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบโดยในต่างประเทศหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะทางยุโรป สินค้าที่เราจะขายจะต้องมีการติดฉลาด Carbon Foot Print ซึ่งบ่งบอกว่าสินค้าตัวนี้มีการควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเลือนกระจก ซึ่งในอนาคตสินค้าเหล่านี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภครู้สึก ว่าการใช้สินค้าเหล่านี้มีส่วนในการช่วยโลกลดก๊าซเลือนกระจก

กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว เป็นการทำธุรกิจด้วยการนำธรรมะเข้ามามีส่วนร่วมในระบบการจัดการขององค์กร โดยคุณ ดนัยได้สร้างองค์กรต้นแบบเพื่อกระตุ้นให้พนักงานทุกคนรู้จักรักษาศีล คิดดี พูดดี ทำดี และเมื่อทุกๆ คนเป็นคนดี บริษัทย่อมเป็นบริษัทที่ดี และสุดท้าย ประเทศก็ย่อมเป็นประเทศที่อุดมด้วยคนดี โดยกลยุทธ์นี้ยังเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มุ่งหวังกำไรสูงสุดเป็นตัวเงิน แต่ยังรู้จักปันคืนสู่สังคมตามหลักการของ Social Enterprise และวัดผลกำไรที่ความสุขและความดีที่ได้ทำ

สุดท้ายกลยุทธ์เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจขับเคลื่อนไป เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ถึงแม้องค์กรใดจะทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเราไม่มีการทำเพื่อบุคลากรของตนเอง ด้วยการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้และศักยภาพของคนในองค์กร องค์กรนั้นก็ยากที่จะประสบความสำเร็จและอยู่ได้ในอนาคต ดังคำกล่าวที่ว่า "โลกเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีจะขับเคลื่อนได้ต้องมีคน"